วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

18 คำถามเวลาที่ไม่มีเรี่ยวแรง

เวลาที่เราอ่อนเพลีย เรามักโทษความเครียดและการนอนน้อย แต่ยังมีสิ่งผิดปกติอื่นอีกที่สามารถสูบพลังจนหมดตัวคุณได้ โชคดีที่เรามีวิธีเรียกพลังใจและกายกลับคืนมา
1.ใช้โทรศัพท์มากเกินไป คุณจะเสียน้ำในร่างกายไปทางปากขณะพูด ซึ่งเป็นอาการที่เรียกว่า “phone-fatigue” ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพนักงานตามศูนย์บริการลูกค้า อาการขาดน้ำทำให้เลือดแข็งตัวและลดปริมาณออกซิเจนในระบบที่เป็นตัวให้พลังงาน ดังนั้น ถ้าคุณใช้โทรศัพท์นาน ควรดื่มน้ำมากๆ ระหว่างคุย
2.ความดันเลือดต่ำ
ความดันเลือดต่ำคือสาเหตุใหญ่ที่คุณหมดแรง แพทย์ยังไม่รู้ว่าทำไม แต่เป็นไปได้ว่ามันทำให้เลือดส่งไปยังสมองไม่เต็มที่ ซึ่งอาจทำให้อ่อนเพลีย อาการที่พบได้บ่อยที่สุดในคนที่มีความดันเลือดต่ำคือ รู้สึกหน้ามืดเวลาลุกขึ้นปุปปับ หรือเวลายืนนานๆ ถ้าคุณมีอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์
3.เล่นเน็ตดึกเกินไป
ฮอร์โมนเมลาโทนินจะกระตุ้นให้เรานอนหลับ แต่แสงจากจอคอมพิวเตอร์ อาจทำให้เราหลับยาก โดยเฉพาะเมื่อคุณกำลังดูสิ่งที่สนใจอยู่ ซึ่งทำให้คุณมักนอนดึก และมีเวลานอนหลับน้อยลง ให้คุณทำอย่างอื่นที่ผ่อนคลายกว่า เช่น อ่านหนังสือแล้วดูสิว่าคุณจะตื่นตัวมากกว่าเดิมในวันใหม่หรือเปล่า
4.กินอาหารไม่เต็มที่
การเฝ้ารออาหารจะเพิ่มปริมาณน้ำย่อย และทำให้เราดูดซับสารอาหารได้มากขึ้น ที่มันเกี่ยวกับอาการอ่อนเพลียก็เพราะการขาดธาตุเหล็กคือหนึ่งในสาเหตุของความอ่อนเพลียที่พบมากในผู้หญิง ดังนั้นไม่ว่าอะไรที่เพิ่มระดับสารอาหารให้คุณ ก็จะเพิ่มพลังใจและกายให้ด้วย
5.ไม่ออกกำลัง
นักวิจัยพบว่าคนที่ออกกำลังอย่างน้อย 20 นาที แม้จะแค่อาทิตย์ละครั้งก็จะรู้สึกอ่อนเพลียน้อยกว่าคนที่ไม่ออกกำลังเลยประมาณ 30% ถ้าเห็นว่าออกกำลังเป็นเรื่องยากเกินไป ให้คุณกินผักและผลไม้เพิ่ม คนที่กินผักผลไม้อย่างน้อย 4-5 จานต่อวันจะออกกำลังได้อย่างสบายๆ
6.อิทธิพลของเดือนเกิด
ถ้าคุณเกิดเดือนธันวาคม หรือมกราคม จะอ่อนเพลียในช่วงเย็นมากกว่าคนที่เกิดเดือนมิถุนายน หรือกรกฎาคมที่จะขี้เซาในยามเช้า นักวิทยาศาสตร์บอกว่า การสัมผัสของแสงแดดยามเช้าประมาณ 15 นาที จะทำให้คนประเภทหลังตาสว่าง ส่วนกาแฟยามบ่ายจะเพิ่มพลังให้กับคนประเภทแรก
7.กรามแข็ง
คุณสามารถใส่นิ้ว 3 นิ้วเรียงเป็นแนวตั้งเข้าปากพร้อมกันหรือเปล่า ถ้าไม่ได้ คุณคงมีปัญหาที่เรียกว่าโรค TMJ (temporomandi bular joint) แพทย์บอกว่ามันคือความไม่สมดุลระหว่างกล้ามเนื้อใกล้กราม และตำแหน่งของฟัน อาการทั่วไปคืออ่อนเพลียและปวดหัว ปวดคอ หรือไหล่ ควรปรึกษาทันตแพทย์
8.ธรณีหน้าต่างสกปรก
จากการวิจัยพบว่า 88% ของบ้านทั่วไปจะมีราขึ้นตามหน้าต่าง และการแพ้เชื้อราเหล่านี้เองคือ สาเหตุหนึ่งของความอ่อนเพลีย ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดและตรวจดูผ้าม่านอาบน้ำของคุณด้วยว่ามีราหรือเปล่า
9.ไม่ได้เอาผ้าห่มไปผึ่งแดด
ระดับความขึ้นสูงทำให้ไรฝุ่นเติบโตได้ดี มันอาจกระตุ้นให้เกิดการอักเสบตามหลอดลมในปอด ทำให้หายใจติดขัดและนอนหลับไม่สนิท และเป็นสาเหตุของความอ่อนเพลียในวันต่อมา นำผ้าห่มผึ่งแดดเป็นประจำ เมื่อความชื้นหมดไป ก็ไม่มีไรฝุ่น
10.เชื่องช้า งุ่มงาม ร่างกายจะใช้พลังงานมากขึ้นเมื่อคุณงุ่มง่าม เพราะปริมาณกลูโคสเข้าสู่สมองน้อยลง คุณเลยอ่อนเพลีย การผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงเครียดทำได้โดยเหวี่ยงแขนไปหน้าและหลัง สลับทีละแขน
11.อยู่ใกล้คนมองโลกในแง่ร้าย
คนที่มองทุกอย่างในแง่ร้ายจะฉุดพลังคุณหดหายไปด้วย เพื่อลดอิทธิพลของพวกเขา ให้จินตนาการว่าคุณกำลังใส่เสื้อคลุมสีดำเวลาคุยกัน ก็จะยับยั้งไม่ให้คุณดูดพลังแง่ลบจากพวกเขาได้
12.อยู่ใกล้เครื่องใช้ ไฟฟ้ามากเกินไป
ขั้วบวกที่มาจากอุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ หรือเครื่องปรับอากาศอาจกระตุ้นให้เกิดฮอร์โมนที่ทำให้เราอ่อนเพลียและซึมเศร้า ให้เสียบปลั๊กตัวแปลงขั้วไฟฟ้าเพื่อเพิ่มระดับของขั้วลบที่เสริมพลังในอากาศ
13.ลืมดื่มกาแฟตอนเช้า
ถ้าคุณไม่ได้ดื่มกาแฟยามเช้า พลังกายและใจอาจตกวูบในวันนี้ จากงานวิจัยพบว่า ผู้ร่วมวิจัย 50% มีอาการอ่อนเพลียถ้าไม่ได้ดื่มกาแฟถ้วยแรกของวัน ซึ่งมีถึง 13% ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลย
14.บ้านรก
ผู้เชี่ยวชาญด้านฮวงจุ้ยบอกว่ากองสิ่งของรกเกะกะจะทำให้สถานที่นั้นขาดพลังและกระตุ้นให้คุณขาดพลังไปด้วย คุณไม่ต้องถึงกับเก็บทุกอย่างในทันที แค่สะสางพื้นที่อาทิตย์ละครั้งก็ใช้แม้ว่าการเจ็บหน้าอกคือสัญญาณหลักๆ บอกถึงอาการโรคหัวใจ แต่สำหรับเพศหญิง สัญญาณนั้นอาจเป็นความอ่อนเพลีย ซึ่งมีมากถึง 70% ที่อ่อนเพลียภายในเดือนนั้น ก่อนหัวใจกำเริบ สัญญาณอื่นๆอาจรวมถึงการนอนไม่หลับ หายใจขาดห้วง อาหารไม่ย่อยและความเครียด 43% ของผู้หญิงไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย แม้โรคหัวใจจะกำเริบก็ตาม พบผู้หญิงวัยก่อนหมดประจำเดือนเป็นโรคหัวใจน้อยมาก แต่ถ้าคุณรู้สึกไม่ดี ควรตรวจร่างกาย โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ เช่น สูบบุหรี่ ความดันเลือดสูง คลอเรสเตอรอลสูง เป็นเบาหวาน หรือคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ
16.กลั้นหาว
การหาวเป็นวิธีธรรมชาติที่ร่างกายของเรากระตุ้นให้เราตื่น นักจิตวิทยาบอกว่าการเคลื่อนไหวของกรามจะบีบหลอดเลือดบนใบหน้า ซึ่งส่งเลือดไปยังสมอง การกลั้นหาวจึงเป็นการยับยั้งกระบวนการนี้และทำให้คุณยิ่งง่วงนอนมากขี้น
17.ใช้ชีวิตตามตาราง
ตารางกิจกรรมที่เตือนคุณทุกอย่างว่าต้องทำอะไรบ้างคือตัวดูดพลังชั้นดี นักวิจัยพบว่าคนที่คิดว่าเขาทำอะไรไปได้มากแค่ไหนมักจะอ่อนเพลียง่ายกว่าคนที่ทำสิ่งที่ต้องทำไปเรื่อยๆ
18.หมอนเก่าเกินไป
ถ้าหมอนของคุณยวบยาบไม่แข็งพอ จะทำให้ลำคอของคุณไม่ได้ระนาบเดียวกับลำตัว ซึ่งไม่เพียงทำให้กล้ามเนื้อตึงตัวซึ่งทำให้คุณนอนไม่หลับแล้ว ยังไปกีดขวางระบบการหายใจเวลาคุณหลับด้วยถ้าหมอนของคุณอ่อนนิ่มจนโอบรอบแขนคุณได้ ก็ถึงเวลาซื้อใบใหม่แล้ว

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

10วิธีต้านเหงา+เศร้า+เซ็ง+เครียด

(1). Don’t blame yourself = อย่าติเตียนตนเอง 
คนส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดมาสมบูรณ์แบบ หรือเกิดมาเพื่อสิ่งที่ดีเลิศ (born for the best), คนส่วนใหญ่เกิดมาเพื่อสิ่งที่ดีรองลงไป (born for the second best)”  
เพราะฉะนั้นไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขั้นแรก คือ ทำใจให้ได้ และหาทางแก้ไขต่อไปเท่าที่แรงและกำลังของเรามี โดยไม่ต้องไปเปรียบเทียบกับใคร 
อาจารย์จิตแพทย์ท่านหนึ่งเล่าไว้นานแล้วว่า มีคนรวยที่คิดฆ่าตัวตายเพราะมีสตางค์ 20 ล้าน สู้เพื่อนๆ ไม่ได้ (เพื่อนมี 200 ล้าน) ซึ่งคนไข้ท่านนั้นก็ไม่ได้ผิดอะไร เพียงแต่ถ้ายอมรับ สิ่งที่ดีรองลงไปสักหน่อยก็จะมีชีวิตที่เหลือดีกว่าเดิมได้อย่างมากมาย 
(2). Talk about it = พูดออกมา 
ถ้ามีญาติสนิทมิตรสหายที่ไว้ใจได้ และรับฟังการพูดออกมาว่า เรารู้สึกอย่างไรมักจะช่วยให้อะไรๆ ดีขึ้น หรืออย่างน้อยก็อาจทำให้อะไรๆ เบาลงไปได้ 
ถ้าไม่มีคนรับฟังการเขียนไดอารี พูดกับสัตว์เลี้ยง เช่น น้องหมา ฯลฯ ก็อาจจะดีกว่าเก็บไว้จนถึงวันระเบิดออกมาสักวัน 
จุดสำคัญ คือ อย่าพูดเพื่อเปลี่ยนแปลงโลก แต่ขอให้พูดเพื่อเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราก่อนคนอื่น,… 
หนังสือเล่มหนึ่งเตือนคนที่ไปอินเดีย (อินเดียเป็นประเทศที่มีอะไรๆ ‘Extreme’ หรือสุดโต่งมากมาย เช่น มีคนรวยที่สุด-จนที่สุด ฯลฯ มากกว่าประเทศอื่นๆ) ไว้ดี คือ ‘You cannot change India. But India will change you.’ = “คุณเปลี่ยนอินเดียไม่ได้. แต่อินเดียจะทำให้คุณเปลี่ยนไป” 
เรื่องชีวิตก็เช่นกันการเริ่มต้นเปลี่ยนที่ตัวเรามักจะง่ายกว่าการเปลี่ยนแปลงโลกหรือคนอื่น… 
กล่าวกันว่า คนที่มองโลกในแง่ดีและมีความสุขมักจะเน้นเปลี่ยนแปลงที่ตัวเอง… 
คนที่มองโลกในแง่ร้ายหรือไม่ค่อยมีความสุขมักจะเน้นการเปลี่ยนแปลงที่โลกและ คนอื่น ซึ่งถ้าเริ่มเปลี่ยนแปลงที่ตัวเราก่อนมักจะทำได้ง่าย ถ้าคิดจะเริ่มเปลี่ยนแปลงโลกหรือคนอื่นจะทำได้ยากกว่ากันมาก
(3). Get regular exercise = ออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำ 
การออกแรง-ออกกำลังเป็นประจำมีส่วนช่วยลดอาการเหงา-เศร้า-เซ็ง-เครียดได้ โดยเฉพาะการเดินเร็วๆ 10 นาทีทันทีที่รู้สึกเหงาๆ มีส่วนช่วยลดการหมกมุ่นครุ่นคิดกับเรื่องเดิมๆ ทำให้มีมุมมองใหม่ๆ ที่ดีขึ้นได้อย่างมากมาย… 
(4). Postpone major decisions = เลื่อนการตัดสินใจครั้งใหญ่ออกไปก่อน 
คนเราไม่ควรตัดสินใจเรื่องใหญ่ๆ ในชีวิตโดยใช้เวลาสั้นกว่า 7 วัน และไม่ควรตัดสินใจโดยไม่ปรึกษาหารือคนรอบข้าง เพื่อป้องกันการตัดสินใจประเภท วู่วามหรือขาดการมีส่วนร่วม (เช่น จากคนในครอบครัวหรือญาติสนิทมิตรสหาย ฯลฯ) 
ถ้าเราไม่สบาย ไม่ว่าจะเป็นทางกายหรือทางใจความสามารถในการตัดสินใจของเรามักจะตกลง อย่างน้อยก็ชั่วคราว ซึ่งถ้ารอให้เวลาผ่านไป 
(5). Take care of your health = ใส่ใจสุขภาพ (กาย) ของคุณด้วย 
กายที่ดีเป็นพื้นฐานสำคัญอย่างหนึ่งของใจที่ดีเมื่อเราป่วยทางใจก็ขอให้ป่วยเฉพาะทางใจ อย่าปล่อยให้ร่างกายโทรม เพราะจะได้โรคใหม่ๆ อีกเพียบ 
  
(6). Maintain a daily routine = ทำกิจวัตรประจำวันที่ดีต่อไป 
ถึงแม้ชีวิตคนเราจะมีช่วงสูงขึ้นหรือต่ำลงไปบ้าง, ทว่าอะไรที่ดีกับตัวเราแล้ว เช่น การทำความสะอาดร่างกาย (อาบน้ำ สระผม ซักผ้า รีดผ้า ฯลฯ) แล้ว ขอให้ทำต่อไป อย่าปล่อยให้เราดูโทรม เพราะกายที่โทรมมักจะนำไปสู่จิตใจที่โทรม (ยิ่งขึ้น) 
  (7). Eat a healthy diet = กินอาหารสุขภาพ อาหารสุขภาพมีส่วนทำให้เรารู้สึกดีๆ กับชีวิต คือ อย่างน้อยก็มีตัวเราที่ยังรักและเอาใจใส่ตัวเราอยู่ อย่าปล่อยให้เซลล์ในร่างกายของเราชุ่มไปด้วยอาหารขยะ เพราะจะทำให้ใจของเราแย่ลงไปอีก 
ทางที่ดี คือ ทำกายให้ดีด้วยอาหารดีๆ พอประมาณ (มากไปเดี๋ยวอ้วนอีก) เพื่อบอกเซลล์ในร่างกายว่า อย่างน้อยก็มีตัวเราที่พร้อมอยู่เคียงข้าง ขอมอบสิ่งดีๆ ให้กับเซลล์ทั่วร่างกาย ไม่ปล่อยให้เซลล์ในร่างกายเป็นถังขยะรองรับอาหารขยะอีกต่อไป 
  (8). Avoid drugs and alcohol = หลีกเลี่ยงยาเสพติดและแอลกอฮอล์ 
ถ้าหมอใกล้บ้านแนะนำให้ใช้ยา หรือปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตนั่นน่าจะเป็นทางออกที่ดี แต่อย่าไปหาทางออกกับยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์ 
เพราะการมีชีวิตที่ตกต่ำไปบ้างเป็นบางครั้งจะยังไม่ตกต่ำลงไปมากตราบเท่าที่ เรายังหันเข้าหายาเสพติด เนื่องจากมีความดีที่เหลืออยู่คุ้มครอง ปกป้องเราไว้ได้
 (9). Try to sleep well = นอนให้ดี นอนไม่ดึกและนอนให้พอ) 
การศึกษาที่ผ่านมาพบว่า การนอนไม่พอมีส่วนเพิ่มเสี่ยงอาการเหงา-เศร้า-เซ็ง-เครียด”… ทางที่ดี คือ นอนให้พอเพื่อมีแรงกาย-แรงใจไว้ต่อสู้วันใหม่ได้ต่อไป  
(10). Don’t over schedule = อย่ารับงานมากเกิน 
การเป็นคุณ ‘Yes’ หรือใครสั่งงานอะไรมาก็รับ ใครบอกว่าต้องทำโน่นทำนี่ก็รับ มีส่วนเพิ่มความเครียดและอาการซึมเศร้าได้ 
โลกเรามีพวก นักคิด-นัดพูด-นักพ่นที่ชอบคิดโครงการหรืออุดมการณ์โน่นนี่มากมาย คนพวกนี้ไม่ค่อยทำอะไร แต่ชอบพูดๆๆๆ ให้คนอื่นทำ 
การตกเป็นเครื่องมือของพวก นักคิด-นักพูด-นักพ่นเหล่านี้จะทำให้ชีวิตของเราตกต่ำ, ทางที่ดี คือ หัดเป็นคุณ ‘no’ หรือปฏิเสธงานที่มากเกินไปเสียบ้าง และที่สำคัญ คือ อย่าปล่อยให้พวกนักคิด-นักพูด-นักพ่นมาครอบงำ หรือบงการชีวิตเรา 

10 อาการของผู้หญิง เมื่อปิ๊งชายหนุ่มเข้าจังๆ

เวลาผู้หญิง แอบปิ๊งผู้ชาย อาการอะไร ที่เธอเก็บไม่อยู่กันบ้าง
1. เวลาผู้หญิงปิ๊งผู้ชายคนที่เธอสนใจ ใบหน้าของเธอ จะเปลี่ยนเป็นสีชมพู ระเรื่อขึ้นเล็กน้อย หรือหน้าอาจจะแดงไปเลย จากการเขินอายมาก แต่นี่ ก็ทำให้ผู้หญิง ดูน่ารักขึ้นอีกตั้งเยอะ
2. ถ้าผู้หญิง นั่งคุย กับผู้ชาย คนที่เธอปิ๊ง เป็นไปได้มาก ว่า เธอจะนั่งไขว่ห้าง หันขาตรงไปทางด้านหน้าผู้ชาย นี่เป็น
สัญญาณ ที่บอกว่า เราเป็นกันได้มากกว่าเพื่อนนะจ๊ะ ตัวเอง
3. ผู้หญิง จะมีอะไรให้ทำเยอะแยะ ไปหมด บนบริเวณ ใบหน้าของตัวเอง อาทิ การกัดนิ้วก้อยแบบเซ็กซี่ๆ ม้วนผม ของตัวเองเล่น กัดริมฝีปาก นี่เป็นการแสดงออก อยากให้ผู้ชายหันมามองกันบ่อยๆ ซิคะ
4. การสัมผัส ถูกเนื้อต้องตัวผู้ชาย ถ้าทำบ่อยๆ เป็นประจำ เวลาที่อยู่ใกล้กัน หรือเวลาที่ยืนคุยกัน นั่นล่ะก็ คือ เธอชอบหรือถูกใจผู้ชายคนนั้นมาก และถ้าเธอขยับ เข้ามาใกล้ๆ อยู่เรื่อย นั่นล่ะ ชอบเข้าไปใหญ่ 5. ดวงตาที่แน่นิ่ง เหมือนไม่มีความหมายอะไรอยู่ภายใน มีแต่ขนตาเท่านั้น ที่พริ้วไหว ขยับขึ้นลงอยู่บ่อยๆ ผู้หญิง อยากให้ผู้ชายคนที่เธอปิ๊ง มองเข้าไปในดวงตาของเธอ และรับรู้ว่า เค้าชอบตัวเองนะ
6. ยิ้มไม่หุบ สังเกตได้เลยว่า ผู้หญิงจะยิ้มออกมาแบบไม่ได้ฝืน แต่เป็นยิ้มที่จริงใจ และก็อยากให้ผู้ชายคนที่เธอปิ๊ง เห็นรอยยิ้มที่
สดใสของเธอบ่อยๆ
7. ในที่ ที่มีคนเยอะๆ สังเกตได้เลยว่า ผู้หญิงจะให้ความสนใจผู้ชายที่เธอชอบ หรือปิ๊ง มากเป็นพิเศษ เธอจะคุยกับเขา สนใจ และตั้งใจฟัง สิ่งที่เขาพูด และก็รับมุก ของเขา สนุกไปกับเรื่องที่เขาพูด
8. เวลาที่ได้เจอผู้ชายคนที่เธอชอบ หรือแอบปิ๊ง คิ้วของหญิงสาว จะยกขึ้นโดยอัตโนมัติ พร้อมรอยยิ้ม และผู้หญิง ก็ยังคาดหวังอีกด้วยว่า ผู้ชายคนเนี้ย น่าจะกล่าวทักทายกันสักหน่อยนะ
9. อันนี้ สังเกตยากนิดนึง ตรงที่ เวลาผู้หญิงจ้องมองผู้ชาย คนที่เธอปิ๊ง ดวงตาดำของเธอ มักจะขยายกว้างออก นี่หมายความว่า เธอรู้สึกดีมากๆ เลย ที่ได้เห็นหรืออยู่ใกล้ๆ ผู้ชายคนนี้
10. เมื่อผู้หญิง ถูคางงามๆ ของเธอเล่น แน่นอนว่า เธอกำลังคิดอยู่ ว่าจะหาทาง
ทำความรู้จัก ผู้ชายคนที่เธอปิ๊ง เพิ่มเติม ได้อย่างไร อาจจะเป็นการถามอะไรส่วนตัว หรือเปรยๆ ชวนไปเที่ยว กินข้าว ดูหนัง เป็นต้น


10 อันดับ คำถามยอดฮิตเวลาสัมภาษณ์งาน

1. ทำไม คุณจึงอยากทำงานที่นี่?
การที่จะทำงานทีไหนก็ตาม ผู้สัมภาษณ์จะต้องถามความเป็นมา ว่าทำไมคุณต้องการที่จะทำงานในบริษัทของเค้า และคำถามนี้ก็เป็นสิ่งที่คุณควรทราบ และคุณก็ควรจะรู้ถึงเหตุผลของคุณอย่างแท้จริง ไม่ใช่ตอบไปสุ่มสี่สุ่มห้า เช่นคุณอาจจะตอบว่า
ผมมีความสนใจในระบบการทำงานของที่นี่มาก และก็ทราบมาว่า ทางบริษัทได้เปิดโอกาสให้พนักงานทุกคน ได้แสดงความสามารถได้อย่างเต็มที่ครับ และผมยังทราบมาอีกว่า ที่บริษัทรับฟังข้อเสนอของพนักงานทุกคน และพร้อมจะแก้ไข ถ้าข้อเสนอนั้น จะสามารถพัฒนาให้บริษัทให้มีความมั่นคง และน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นครับ "

2. ทำไม คุณถึงออกจากงานที่เคยทำอยู่?
คำถามนี้จะง่ายมาก สำหรับน้องๆ ที่ยังไม่เคยทำงานมาก่อน แต่จะเป็นคำถามที่ยากมาก สำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์ในการทำงานมาแล้ว และเป็นคำถามที่ตรงประเด็นมากเลยทีเดียว เพราะหากคุณพอใจต่องานที่ทำอยู่ คุณคงไม่ต้องหางานใหม่ทำหรอกจริงไหมล่ะ คำถามนี้จึงเป็นคำถามที่คุณ ต้องเตรียมตัวอย่างมาก เลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น
ผมอยากจะเรียนรู้ถึงงานสายใหม่ ที่น่าจะเหมาะสมกับตัวผมมากกว่าที่ผมเคยทำอยู่ครับ และผมคิดว่างานที่นี้เหมาะสมกับผม และผมพร้อมที่จะทำงานตรงนี้มากที่สุด"และที่สำคัญ คุณ
ห้ามนำข้อเสียที่คุณได้รู้จากบริษัทเก่ามาพูดเด็ดขาด เพราะสิ่งนั้นอาจทำให้คะแนนแห่งความเชื่อถือของคุณลดลงก็ได้
3. ลองเล่าประวัติของคุณแบบย่อๆ
การที่จะทำงานร่วมกันได้นั้น สิ่งที่สำคัญก็จะเป็นเรื่อง ข้อมูลส่วนตัว ประวัติความเป็นมาเล็กๆ น้อยๆ ที่สามารถบ่งบอกถึง นิสัยใจคอของคุณได้ และสามารถบอกถึง ความเหมาะสมกับงานด้านนี้ของคุณ ในการตอบคำถาม จึงควรอยู่ในแง่ของการทำงาน บุคลิกภาพส่วนตัว และแง่คิดของชีวิตบ้างนิดหน่อย คุณไม่ควรจะเล่าประวัติชีวิตของคุณให้มากเกินไป เพราะการพูดมากเกินไป อาจจะทำให้เกิดผลเสียแก่ตัวคุณเอง เช่น
ผมเป็นคนเคารพเวลา ไม่ชอบให้ใครรอ เพราะฉะนั้นเวลาในการ ทำงานของผม จะตรงต่อเวลาเสมอ แต่ผมก็มีข้อเสียนะครับ คือเวลา ที่ผมรอใคร แล้วคนคนนั้น ไม่มาสักที ผมก็มักจะควบคุมอารมณ์ ของตัวเอง ไม่ค่อยได้ทั้ง ๆ ที่เหตุผลของเค้า เป็นเหตุผลที่น่าฟังมาก ก็ตาม และตอนนี้ผมกำลังหาวิธี เพื่อแก้ไข ข้อบกพร่องของผมอยู่ครับ"

4. คุณคิดจะทำอะไรให้กับบริษัทมากที่สุด?
คำถามนี้จะทำให้คุณบอกถึงความสามารถของคุณ ที่จะทำให้กับบริษัทได้มากน้อยแค่ไหน ในการบอกถึงคุณสมบัติที่คุณสามารถทำได้นั้น ไม่ถือว่าเป็นการโอ้อวดว่า คุณเก่งแต่อย่างไร แต่สิ่งที่คุณพูดนั้นจะสามารถสร้างน้ำหนัก ในการตอบคำถามให้แก่คุณได้

5. จะมีปัญหาอะไรไหม หากต้องทำงานล่วงเวลา?
เจอคำถามนี้เข้า ก็ทำให้อึ้งเอาการอยู่ทีเดียว ก็แหมใครอยากจะไปทำงานล่วงเวลา หากไม่ได้อะไรตอบแทนบ้างเลย ฉะนั้นในการตอบคำถามนี้ คุณควรจะกล่าวถึงความพร้อมเสมอ ในการทำงานล่วงเวลา ถึงแม้ว่า ค่าตอบแทนอาจจะน้อยมาก หรือในการทำงานล่วงเวลา จะไปตรงกับตารางนัดสำคัญกับคนพิเศษของคุณก็ตาม
"เพื่อให้งานประสบความสำเร็จ ผมก็พร้อมจะทำงาน ล่วงเวลาเสมอ"

6. เรื่องทั่วๆไป
ในการสัมภาษณ์คุณอาจจะต้องพูดถึงเรื่องปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นข่าวทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และค่านิยม ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น เป็นข่าวหนังสือพิมพ์ คำถามนี้จะแสดงให้ เห็นว่า คุณให้ความสนใจกับข่าวสาร บ้านเมือง ไม่เป็นคนที่ตกข่าว สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับเหตุการณ์ปัจจุบัน การทราบข้อมูลเหล่านี้ อาจทำให้คะแนนการสัมภาษณ์ของคุณ เพิ่มขึ้นมาก็ได้

7. ความใฝ่ฝันและโครงการในอนาคต?
เป็น การพิจารณาถึงความเอาจริงเอาจังของคุณ เพราะหากคุณสามารถบอกถึงทิศทางในอนาคตได้ นั่นก็แสดงว่าคุณสามารถรับผิดชอบ ในงานที่ได้รับมอบหมายอย่างดีทีเดียว ก็ขนาดอนาคตที่ไม่มีใครสามารถรู้ได้ คุณยังวางแผนสู่อนาคตได้อย่างเป็นระบบ นั่นก็หมายถึงว่า คุณไม่ได้มีความคิดย่ำอยู่กับที่จริงไหม

8. คุณมีงานอดิเรกอะไรไหม?
คำถามในข้อนี้จะเจาะประเด็นว่า คุณรู้จักแบ่งเวลาของคุณให้เกิดประโยชน์ มากน้อยแค่ไหน และแสดงให้เห็นถึงบุคลิกของคุณว่า คุณเป็นคนอย่างไร ร่าเริง เปิดเผย หรือเก็บตัว เช่น ถ้าคุณตอบว่า คุณชอบอ่านหนังสือ คุณอาจจะถูกถามต่อว่า หนังสือเล่มล่าสุดที่คุณอ่านคือเรื่องอะไร และอาจให้คุณวิจารณ์ ถึงหนังสือเล่มนั้น ในการถามคำถามนี้ ยังสามารถได้รู้ถึงความละเอียดอ่อนของคุณ การรู้จักสังเกต การมีปฏิภาณไหวพริบ กระทั่ง การใช้ชีวิตร่วมกับคนอื่นๆ อีกด้วย

9. คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่?
เป็นเรื่องที่ยากมากในการตอบคำถามนี้ ถ้าหากว่างานที่คุณไปสมัคร ระบุเงินเดือนไว้แล้ว ก็เกิดความสบายใจหน่อย แต่ถ้าไม่ได้ระบุถึงอัตราค่าจ้างเลย ก็แย่หน่อย ทางที่ดีคุณควรตอบตามอัตราเงินเดือน ที่คนทั่วไปได้รับกัน เช่น อาจจะถามเพื่อนที่ทำงานเหมือนกับตำแหน่งที่คุณสมัคร หรือตอบตามเงินเดือนราชการ ที่คุณทราบก็ได้ แต่ถ้าหากผู้สัมภาษณ์เสนอเงินเดือนมาสูงหรือต่ำกว่าอัตราที่คุณรู้ คุณก็อย่าเพิ่งตอบตกลง คุณอาจจะขอเวลาในการพิจารณาสัก 3 วัน แล้วค่อยให้คำตอบ เพราะถ้าเกิดคุณตอบตกลงไปแล้ว และคุณมาขอขึ้นทีหลังก็เหมือนกับว่า คุณเป็นคนโลเล ไม่น่าเชื่อถือก็ได้

10. คุณมีข้อสงสัยอะไรอีกไหม?
เจอคำถามนี้ก็บ่งบอกว่า การสัมภาษณ์ได้สิ้นสุดลง แต่ในการตอบคำถามข้อสุดท้ายนี้ จะตอบอย่างไรดี ที่จะแสดงว่า เราไม่เป็นคนไม่ฉลาดออกมา เช่น คุณอาจถามย้ำเรื่องเวลาการทำงานก็ได้
"ผมอยากทราบเวลา ที่แน่นอน ในการทำงานของผมครับ"หรือ คุณอาจจะไม่ต้องการถามอะไรก็ได้ เพราะการไม่ได้ถามก็เท่ากับว่า คุณได้ทราบข้อมูลของบริษัทมากพอแล้ว แต่ถ้าเกิดสงสัยจริงๆ ก็ควรตั้งคำถามที่ฟังแล้วดูดี และถูกใจนายจ้างของคุณให้มากที่สุด


วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

วิธีปฏิบัติเพื่อการนอนหลับที่ดีขึ้น

ข้อควรปฏิบัติเพื่อการนอนหลับที่ดี ควรทำติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์ จะหลับสบายขึ้น       
1. ควรเข้านอนและตื่นนอนให้ตรงเวลาเป็นประจำ ทั้งวันทำงานปกติ และวันหยุด เพื่อให้นาฬิกาชีวิตทำงานตลอดเวลา
2. รับแสงแดดให้เพียงพอในตอนเช้า อย่างน้อย 30 นาที ทุกวัน เนื่องจากแสงแดดเป็นตัวกระตุ้นการควบคุมนาฬิกาชีวิตที่สำคัญ และการที่ตาได้รับแสงแดดธรรมชาติที่เปลี่ยนไปในแต่ละวัน จะช่วยกระตุ้นจังหวะการหลับ การตื่น ให้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
3. หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีนหรือสารที่ออกฤทธิ์คล้ายกาแฟอี นี้ที่มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท เช่น โกโก้ ช็อกโกแลต น้ำอัดลม หรือยาแก้ปวดบางชนิดหลังอาหารมื้อเที่ยง

4. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ก่อนการนอนหลับ 3 ชั่วโมง
5. หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารหนักก่อนนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง แต่การกินอาหารเล็กน้อย เช่น นมหรือขนมเล็กน้อยก่อนนอน จะทำให้หลับง่ายขึ้น
6. หลีกเลี่ยงบุหรี่ก่อนนอนหลับ 2 ชั่วโมง

7. หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายก่อนนอนอย่างน้อย 2 ชั่วโมง
8. หลีกเลี่ยงการงีบหลับตอนกลางวัน

9. ควรเตรียมพร้อมเพื่อช่วยการนอนหลับให้ง่ายขึ้น ด้วยกิจกรรมง่ายๆ แบบผ่อนคลาย หลีกเลี่ยงงานที่ต้องใช้สมาธิ โต้เถียง คุยโทรศัพท์ หรือดูภาพยนตร์ตื่นเต้นสยองขวัญ
10. ห้องนอนควรเงียบ สงบ สบาย มีอุณหภูมิที่พอเหมาะ ไม่มีเสียงหรือแสงรบกวนขณะหลับ หรือแสงแดดยามเช้า ที่นอนที่สบายควรมีผ้าห่ม หมอนข้างและม่านกันแสงแดด เพื่อช่วยให้การนอนหลับง่ายขึ้น หากห้องนอนมีเสียงรบกวนตลอดเวลาจากภายนอก อาจใช้เสียงเพลงเบาๆ หรือเสียงที่ทำให้ผ่อนคลายเปิดคลอไปตลอดคืน หรืออาจจำเป็นต้องใช้จุกหูฟังปิดหูเพื่อป้องกันเสียงรบกวน

11. ควรใช้ห้องนอนเพื่อการนอนหรือกิจกรรมทางเพศเท่านั้น หรืออาจมีกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมการนอนหลับ เช่น เปลี่ยนชุดนอน อาบน้ำ แปรงฟัน เท่านั้น กิจกรรมอื่น เช่นทำงาน กินอาหาร ดูทีวี ไม่ควรใช้ห้องนอน
12. หากนอนไม่หลับภายใน 10 นาที ไม่ควรกังวล ไม่ควรมองนาฬิกา ควรลุกจากที่นอนหากิจกรรมอื่นทำ เช่น ดูทีวี อ่านหนังสือ แล้วกลับมานอนใหม่เมื่อง่วง
13. ฝึกจิตใจและสมองให้เรียนรู้ว่าห้องนอนคือสถานที่ที่เราใช้พักผ่อนเท่านั้น ก่อนการนอนหลับจิตใจและสมองต้องผ่อนคลาย โดยให้สัมพันธ์กับร่างกายที่ผ่อนคลาย ห้องนอนที่ผ่อนคลาย รวมถึงเตรียมกิจวัตรประจำวันให้พร้อม เช่น อาบน้ำ แปรงฟัน
14. ท่านควรควบคุมหรือจัดการกับความเครียดของตัวเอง ให้เวลากับตนเองเพื่อค้นหาสาเหตุของความเครียด และวิธีการจัดการกับความเครียดที่เกิดขึ้น อาจหาบทความหรือคำแนะนำต่างๆ เพื่อจะได้เป็นแนวทางในการกำจัดความเครียด ซึ่งมีหลายวิธี เช่น การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การทำสมาธิ การสะกดจิต เป็นต้น แต่มีอีกเทคนิคหนึ่งที่น่าสนใจ คือ การเผชิญหน้ากับความเครียดโดยตรง โดยให้เวลากับตนเอง เช่น ให้เวลา 30 นาที ตอนเย็นอยู่กับตัวเองลำพัง ไม่มีสิ่งต่างๆ รบกวน และให้เขียนความเครียดหลักๆ ที่เผชิญอยู่ลงกระดาษ โดยเรียงลำดับจากความสำคัญมากไปหาน้อย เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้าพยายามตอบคำถามว่าท่านจะจัดการกับความเครียดแต่ละข้อ อย่างไรอาจไม่มีคำตอบที่ง่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป คำตอบจะชัดเจนขึ้นหรือความเครียดนั้นจะลดความสำคัญลงไป


11 สิ่งที่ผู้หญิงไม่มีวันบอกคุณ

1.ความคิดสร้างสรรค์สิสำคัญ ผู้หญิงเวลาออกเดตจะไม่สนใจหรอกว่าคุณงกหรือไม่งกขอแค่อย่างเดียวว่า ให้คุณมีจิตนาการก็พอ อย่าพาเธอเข้าร้านเฉิ่ม ๆ แล้วกัน

2. เธอแต่งตัวให้คุณ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ของเธอเกี่ยวกับตัวคุณนั้นเป็นเรื่องธรรมดามาก คุณกำลังถูกเธอประเมินอย่างต่อเนื่องว่าจะเป็นคนที่เธอสมควรพาขึ้นเตียงด้วย หรือไม่ หนึ่งในบรรดากูรูประจำตัวผู้ชายยอมรับว่า ต้องตรวจดูเล็บมือเล็บเท้าของพวกเขาผ่านกล้องขยายกันเลย ทีเดียว และทริคอีกอย่างที่จะเปลี่ยนใจเธอให้ยอมขึ้นเตียงกับคุณ หลังจากคุณไปส่งเธอที่บ้าน "มันเป็นเรื่องของอำนาจ และการคุมเกม และเขาก็ไม่ได้แสดงอะไรระหว่างที่เขาขับรถ"

 3. สัมผัสที่ 6 เธอรู้ว่าเพื่อนร่วมงานสาวคนไหนที่คุณแอบปลื้ม แม้ว่าเธอจะไม่เคยเห็นหน้าสาวๆ พวกนั้นเลยก็ตาม เธอสามารถจับน้ำเสียงของคุณเวลาพูดถึงเพื่อนสาวได้ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเธอถึงได้หัวเสียเวลาคุณกลับบ้านช้า หรือเวลาคุณกลัวส่งงานช้า

4. ชื่อแห่งความตาย เธอนึกอยากฆ่าผู้ชายทุกคนที่เรียกเธอว่า อีหนู อย่าได้เรียกเธออย่างนั้นเชียวล่ะ

5. เมื่อนกเขาขับ เธอจะไม่มีวัน บอกให้คุณทำอะไรเกิน 3 ครั้ง ถ้าคุณยังไม่เอาขยะออกไปเท ยังไม่หยุดหักนิ้วตัวเอง ยังไม่ยอมละสายตาจากอกอวบๆ ของสาวเสิร์ฟ พฤติกรรมเหล่านี้ของคุณจะถูกเธอบันทึกไว้ในความทรงจำอย่างเงียบ ๆ และเธอจะแก้แค้นคุณเมื่อถึงเวลา

6. เกมนักสืบ ถ้าเธอถามคุณว่าชอบนักฟุตบอลคนไหน จริง ๆ แล้วเธอไม่ได้สนใจเรื่องพรรค์นั้นหรอก เธอเพียงแต่อยากอ่านอีเมล์ของคุณ และกำลังหารหัสของคุณอยู่

7. เธอเกลียดครอบครัวของคุณ เธออยากใช้วันหยุดทั้งหมดกับครอบครัวของเธอ ไม่ใช่ครอบครัวของคุณ และไม่เข้าใจด้วยว่าทำไมคุณถึงรู้สึกอย่างเดียวกัน

8. ดอกไม้นรก เธอแกล้งทำเป็นชอบเวลาคุณส่งดอกไม้ไปขอโทษเธอที่ที่ทำงานของเธอ แต่ลึก ๆ แล้วเธอคิดว่ามันเป็นวิธีขอโทษที่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย

9. พึ่งปฏิทิน มีรายการสั้น ๆ แต่สำคัญเกี่ยวกับสิ่งที่เธอบอกว่าไม่สนใจ แต่จริงๆ แล้วแคร์ ซึ่งมักจะประกอบด้วยการซื้อแหวนหมั้น อยากมีลูก แต่การออกไปข้างนอกในวันเกิดเธอกลับสำคัญกว่า เพราะถ้าขืนคุณลืมล่ะก็รับรองได้ว่าคุณจะได้รับบทลงโทษที่สาสมแน่ ๆ

10. เธอเป็นเจ้าแม่ เธอแอบปิ๊งคนดังอย่างน้อย 1 คน ที่เธอไม่ยอมรับว่าปลื้ม เพราะเขาทำให้เธอนึกถึงพ่อ ถ้านิสัยการดูทีวีของเธอไม่พ้นจากครูกุ๊กอย่างเคน ธีรเดช หรือพระเอกดาวรุ่งอย่างสมาร์ทล่ะก็คุณสามารถแอบยิ้มในใจได้แล้วว่าเจ้าแม่ อย่างเธอก็มีจุดอ่อน

11. คำพูดอันตราย คำพูดที่หยาบคายที่สุดที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะพูดออกมาได้ ก็คือ "Fine" (ดี) ลืมคำแปลภาษาไทยไปได้เลย เพราะคำนี้สำหรับผู้หญิงหมายถึง "คุณก็แค่บอกดี ๆ นี่เอง ฉันจะไม่มีวันพยายามอธิบายว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรอก" และคำว่า Fine นี้ในภาษาอิตาเลียนหมายความว่า "จุดจบ"


นาฬิกากับเวลา...แตกต่าง...แต่เติมเต็ม

แปลกมั้ย..ใคร ๆ ก็คิดว่าเวลากับนาฬิกาเป็นสิ่งที่คู่กันเสมอจริง ๆ แล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักหน่อย
เวลา... เดินไปข้างหน้า
นาฬิกา.. เดินอยู่ที่เก่า
เวลา.. เราไม่อาจย้อนกลับ
นาฬิกา.. เราหมุนย้อนมันได้
เวลา.. เมื่อสูญเสียไปแล้วไม่อาจเรียกร้องคืน
นาฬิกา.. เสียก็ซ่อม หรือซื้อใหม่ไปเลย
เวลา.. ได้มาฟรีๆ ไม่ต้องแลกกะอะไร
นาฬิกา.. ยิ่งสวยยิ่งแพง ใช้เงินซื้อมันมาทั้งนั้น
แล้วอย่างนี้ มันจะคู่กันได้ยังไง ในเมื่อมันแตกต่างกันเหลือเกิน
แต่ถามหน่อย.. ถ้าไม่มีนาฬิกา จะรู้เวลามั้ย
หรือถ้ามีแต่นาฬิกา แต่ไม่รู้จักเวลา จะมีประโยชน์อะไร

ถึง 2 สิ่งจะแตกต่างกัน แต่ถ้ามันจะคู่กันแล้ว
ย่อมมีจุดร่วมกันเสมอ เพียงแต่จะมองเห็นมันรึป่าว
?

ฉันกับเค้า.. อาจไม่มีอะไรเหมือนกัน
ฉันกับเค้า.. มีความคิด และวิถีชีวิตที่ต่างกัน
ฉันกับเค้า.. อาจเดินกันคนละเส้นทาง
ฉันกับเค้า.. อาจมีความฝันที่ห่างไกลกัน
ฉัน.. อาจเหมือนกับเวลา ที่ชอบเดินไปข้างหน้า
หาสิ่งใหม่ๆที่ท้าทาย โดยทิ้งหลายสิ่งไว้ข้างหลัง

เค้า.. อาจเหมือนกับนาฬิกา ที่ยังเป็นแบบเดิมๆ
ใช้ชีวิตและทำหน้าที่ไปเรื่อยๆ ในมุมเก่าๆ

ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันยังดึงดันจะมองแต่ข้างหน้า
ฉันอาจไม่พบกับเค้าเลย ถ้าฉันไม่มองไปข้างหลัง
เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังอยู่แบบเดิมๆ
เค้ายังไม่เห็นฉัน เพราะเขายังก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของเขาไป
แต่ฉันยังเฝ้ามอง เฝ้ารอ
ความแตกต่าง อาจสร้างกำแพงบังเค้าไว้

แต่ฉันยังเชื่อมั่น ว่าซักวัน สิ่งนั่นน่ะแหละ
ที่จะเชื่อมโยงใจเราเข้าหากัน

ความแตกต่าง จะเติมเต็มส่วนที่เราขาดหาย
และสุดท้าย ก็จะเหลือเพียงแค่คำว่า..
** กันและกัน **